ในบทนี้จะกล่าวถึงประเภทหลักของวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง คุณสมบัติทางกายภาพ และประโยชน์ สำหรับการก่อสร้าง หลักในการเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง มีดังนี้ วัสดุก่อสร้าง แต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติเฉพาะตัว เช่น ความแข็งแรง ความยืดหยุ่น ความแข็งเหนียว วัสดุที่เหมาะสำหรับใช้เป็นโครงสร้างอาคาร ได้แก่ วัสดุที่มีทั้งความยืดหยุ่น และความแข็งเหนียวแน่น รวมกัน
จะสร้างบ้านทั้งทีเรามีแนวทางดู วัสดุก่อสร้าง อย่างไรบ้าง
ความยืดหยุ่นของวัสดุหมายถึง ความสามารถของวัสดุที่จะเปลี่ยนรูป เมื่อถูกกระทำด้วยแรงดัด ดึง หรือแรงอัด ทำให้เกิดหน่วยแรงขึ้น ภายในเนื้อวัสดุ แต่จะสามารถกลับคืนสู่สภาพเดิม เมื่อนำแรงที่กระทำออกจากวัสดุดังกล่าว ซึ่งวัสดุแต่ละชนิด จะมีค่าพิกัดยืดหยุ่นของตัวเอง ซึ่งหากวัสดุถูกกระทำด้วยแรง ที่เกินกว่าค่าพิกัดยืดหยุ่นดังกล่าว วัสดุจะเปลี่ยนรูปร่าง ไปอย่างถาวร หรือแตกหัก
วัสดุที่เกิดการเปลี่ยนรูปแบบ เป็นแบบพลาสติก ก่อนที่จะเกิดการวิบัติ หรือแตกหัก จะเรียกวัสดุประเภทนี้ ว่าวัสดุเหนียว
ในทางตรงกันข้าม วัสดุที่มีค่าพิกัดยืดหยุ่น และเกิดการวิบัติ หรือแตกหักทันที เมื่อมีแรงมากระทำ จะเรียกวัสดุประเภทนี้ว่าวัสดุเปราะ วัสดุประเภทนี้ไม่เหมาะสำหรับใช้เป็นโครงสร้าง ของบ้านและตัวอาคาร
ค่าความแข็งเหนียวหมายถึง ความสามารถของวัสดุ ที่จะรับแรงจนถึงพิกัด ยืดหยุ่นของตัวเอง ค่าความแข็งเหนียวของวัสดุ รวมทั้งของหน้าตัดวัสดุเองนั้น จะมีความสำคัญในการกำหนดความยาวช่วงพาด และค่าการแอ่นตัว หรือการตกท้องช้าง
คุณสมบัติของวัสดุ ในการเปลี่ยนแปลงขนาด และรูปร่าง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ หรือความชื้น ก็มีความสำคัญในการพิจารณา ในการเลือกใช้วัสดุ เมื่อต้องนำมาใช้ติดต่อ หรือรวมกับวัสดุก่อสร้างชนิดอื่นๆ
ความทนทานต่อน้ำ หรือความชื้นของตัววัสดุ จะเป็นคุณสมบัติสำคัญ ที่ใช้พิจารณาเลือกวัสดุก่อสร้างบ้าน หรืออาคารในเขตอากาศ ที่มีความชื้นที่สูง
วัสดุก่อสร้าง ที่ใช้เพื่อเป็นพื้นผิวภายนอก ควรมีการพิจารณาคุณสมบัติ การเป็นสื่อนำ หรือเป็นฉนวนความร้อน หรือความเย็น
วัสดุก่อสร้าง ที่ใช้เป็นพื้นผิวสำเร็จของห้องภายในอาคาร ควรได้รับการประเมินค่า คุณสมบัติด้านการส่งผ่าน การสะท้อน การดูดซับแสง และรังสีความร้อน
ค่าความหนาแน่น หรือความแข็งแรงของวัสดุ จะเป็นตัวกำหนด ความสามารถของวัสดุนั้นๆ ในการทนทานต่อการสึกกร่อน และความประหยัด ในการบำรุงรักษา
การเลือกวัสดุมาใช้ก่อสร้าง เป็นส่วนของโครงสร้าง หรือผิวตกแต่งภายในของอาคาร ควรคำนึงถึงคุณสมบัติ ที่ไม่เป็นเชื้อไฟ ความทนไฟ หรือเมื่อถูกไฟไหม้ จะไม่ก่อให้เกิดควัน หรือก๊าซพิษได้
ผู้ออกแบบควรกำหนดประเภทของวัสดุ ที่มีสีสัน และลวดลายโดยเฉพาะ รวมทั้งขนาดสัดส่วน ให้สอดคล้องเป็นไปตามรูปแบบที่วางไว้
วัสดุก่อสร้างอาคารส่วนใหญ่ จะผลิตออกมาเป็นขนาด และรูปร่างมาตรฐาน ซึ่งผู้ผลิตแต่ละแห่ง อาจผลิตแตกต่างกันบ้าง ดังนั้นผู้ออกแบบอาคาร ควรกำหนดรูปแบบของการติดตั้ง หรือลักษณะการวางวัสดุก่อสร้าง ให้ละเอียดหรือใกล้เคียงกับความเป็นจริง ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขั้นตอนการออกแบบ เพื่อช่วยลดเศษการตัด ที่สิ้นเปลืองวัสดุ โดยไม่จำเป็นในระหว่างการก่อสร้างอาคารจริง
การประเมิน และเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง เพื่อนำมาใช้งาน ควรพิจารณาลักษณะการใช้งาน ความประหยัด และความสวยงาม ตลอดจนผลกระทบ ที่อาจมีผลต่อสิ่งแวดล้อม การประเมินดังกล่าวเรียกว่า “การประเมินตามวงจรชีวิต”
ซึ่งจะครอบคลุม ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ ขั้นตอนการผลิต การบรรจุผลิตภัณฑ์ และการขนส่งวัสดุ มายังสถานที่ก่อสร้าง การบำรุงรักษาวัสดุ ระหว่างการใช้งาน โอกาสที่จะสามารถนำวัสดุ กลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง ตลอดจนการกำจัดกระบวนการประเมินนี้ จะประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ การนำวัตถุดิบเข้ามาใช้ รายการวงจรการผลิต และการใช้งานวัสดุและของเสีย
เราเป็นมากว่าผู้รับเหมาทั่วไป เพราะเรามีความชำนาน และความโดดเด่นที่เฉพาะตัว ที่ไม่เหมือนใคร ในหลากหลายสไตล์ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดี ให้กับลูกค้า เราไม่อยากให้ท่านเสียเวลาเปล่า กับผู้รับเหมาทั่วไป ที่ไม่มีความรับผิดชอบทิ้งงาน และไม่มีประสบการณ์ที่มากพอ แต่ถ้าลูกค้าต้องการ ที่จะหาผู้รับเหมาที่ดี และมีประสบการณ์ มีความชำนาน และมีทีมงาน จากหลายๆฝ่ายละก็สามารถทักหาเราได้ เพื่อที่เราจะได้ปรึกษา และให้คำแนะนำแก่ท่านได้ เพราะเราเชื่อว่า ลูกค้าเป็นเหมือนพี่น้อง เราจึงให้ความสำคัญ และใส่ใจในการดูแล ในแบบฉบับครอบครัว
ติดต่อเรา
หรือโทรติดต่อได้ที่เบอร์
☎️ TEL : 098-016-1989